Sunday, August 18, 2013

Phone Booth (2002)

Stu Shepard (Colin Farrell) ที่ปรึกษาสื่อโฆษณาให้เช่าราคาย่อมเยา กำลังนอกใจภรรยาของเขา Kelly (Radha Mitchell) และคบหากับ Pam (Katie Holmes) แฟนสาว โดยที่เธอไม่รู้ว่า Stu แต่งงานแล้วขณะที่เข้าไปใช้โทรศัพท์สาธารณะเพื่อโทรหา Pam (Katie Holmes) แฟนสาว ในระหว่างนั้นมีเด็กส่งพิซซ่าพยายามเเสนอส่งพิซซ่าฟรีๆให้แต่ Stu กลับปฏิเสธและไล่เด็กส่งพิซซ่าอย่างหยาบคาย หลังจาก Stu วางสายจาก Pam ไปแล้ว โทรศัพท์ได้ดังขึ้น Stu รับสายนั้นขึ้นมา เสียงจากปลายสาย(The caller : Kiefer Sutherland) แนะนำให้รับพิซซ่านั้นซะเพื่อจะได้เผื่อให้มีแรงไว้รับกับสถานการณ์ที่กำลังจะมาถึงนี้ และเสียงปลายสายก็ได้เตือน Stu ว่าอย่าออกห่างจากโทรศัพท์ตู้นี้ไม่งั้นจะถูกยิง และเสียงปลายสายยังขู่ว่า เขารู้เรื่องของสตู และจะบอกความจริงกับเธอทั้งสองเสียในขณะที่ Stu ใช้โทรศัพท์อยู่ Leon (John Enos III) ไม่พอใจที Stu ใช้โทรศัพท์นานเกิน Leon จึงจัดการประเคนไม้เบสบอลเข้าที่ตู้โทรศัพท์เป็นการสั่งสอน เสียงปลายสายบอกกับ Stu ว่าเขาสามารถช่วย Stu ได้ เมื่อ Stu ยอมรับความช่วยเหลือ Leon ถูกยิงเข้าที่หลังทันที นั้นเป็นสิ่งยืนยันตามคำบอกของเสียงปลายสายที่ห้ามไม่ให้ Stu ออกจากโทรศัพท์การกระทำอุกอาจเขย่าขวัญ ดึงดูดเจ้าหน้าที่ตำรวจ และกองกำลังสนับสนุนแม่นปืน มายังสถานที่เกิดเหตุ พวกเขาพากันคิดว่า Stu เป็นบุคคลอันตรายพร้อมอาวุธปืน ผู้กอง Ed Ramey (Forest Whitaker)พยายามเกลี้ยกล่อม ต่อรองให้สตูออกมาจากตู้โทรศัพท์ แต่มันยิ่งทำให้เป็นจุดสนใจมากขึ้น บรรดานักข่าวช่างภาพ ที่ได้พากันมากลุ้มรุมอยู่รอบสถานที่ ร่วมด้วยKelly ภรรยาของสตู อีกทั้ง Pam ลูกค้าและว่าที่แฟนสาวของเขา ซึ่งเจ้าของเสียงปลายสายเห็นพวกเขาทั้งหมด ผ่านกล้องส่องแรงสูง จากปืนไรเฟิลของเขา นั้นทำให้ Stu ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก


หลังจากแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวจาก Minority Report ทำให้ Colin Farrell มีงานต่อเนื่อง และถูกเรียกตัวเข้ากลุ่มดารานักแสดงร่วมกับ Kiefer Sutherland, Forest Whitaker, Katie Holmes และ Radha Mitchell นับว่าเรื่องนี้ Colin Farrell แสดงนำเต็มตัวและแสดงฝีมือได้เต็มที่กับบทที่ต้องติดอยู่ภายในตู้โทรศัพท์สาธารณะ ด้วยเนื้อเรื่องที่ดูเหมือนเรียบง่ายแม้จะอยู่ในตู้โทรศัพท์กลางเมืองใหญ่ก็ไม่อาจมีใครช่วยเหลือได้ เพราะมีอันตรายที่มองไม่เห็น โดยในเรื่องให้อันตรายที่มองไม่เห็นเป็นมือปืนซุ่มยิงอยู่ ในขณะที่รอบข้างยังใช้ชีวิตปกติ ยอกย้อนสังคมเมืองใหญ่อย่างจัง นอกจากนั้นยังเพิ่มการส่งบทให้เรื่องเข้มข้นขึ้นไปอีกจากดาราอย่าง Kiefer Sutherland ที่ทั้งเรื่องมาแต่เสียง แถมทั้ง Joel Schumacher ผู้กำกับและ Larry Cohen ผู้เขียนก็จัดได้ว่าขึ้นหิ้งหมดแล้ว ในเรื่องทุกอย่างดูพร้อมและลงตัวจะขาดก็เพียงแต่ประสบการณ์การแสดงของ Colin Farrell เท่านั้น แต่ที่ได้มาแทนประสบการณ์ก็คือความสดที่มาทดแทน ซึ่งมันกับเป็นการดีกับภาพยนตร์เรื่องนี้


ประโยคเด็ดจากภาพยนต์
" If you have to ask, you're not ready to know yet"


เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
- Larry Cohen เจ้าของไอเดียที่คิดภาพยนตร์ที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นตู้โทรศัพท์ทั้งหมด และได้เสนอแนวคิดนี้ให้กับ Alfred Hitchcock ในปี 1960 และ Hitchcock ก็ชื่นชอบไอเดียนี้ แต่ติดที่ว่า Hitchcock กับ Cohen ไม่สามารถคิดพล็อตเรื่องที่มีเหตุผลเพียงพอที่จะให้ภาพยนตร์ดำเนินเรื่องเฉพาะ ตู้โทรศัพท์ นี่เป็นเหตุผลที่พวกเขาไม่คิดจะทำภาพยนตร์ตามแนวคิดนี้ จนมาถึงปี 1990 Cohen ถึงมาได้ไอเดียว่าต้องมีมือปืนซุ่มยิงจึงเป็นตัวแปรที่มาเติมเต็มแนวความคิดของเขาและมีน้ำหนักเพียงพอ
- ฉากในภาพยตร์ทั้งหมดถูกถ่ายทำเรียงตามลำดับที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์ทั้งหมด
- Kiefer Sutherland ที่รับบทตัวร้าย ที่โผล่มาแต่เสียงในภาพยนตร์ นอกจากไม่ปรากฎตัวในภาพยนตร์แล้ว ยังไม่มีตัวตนให้เห็นในโปสเตอร์ ใบหน้าของ Sutherland ไม่ปรากฎแม้แต่ภาพยนตร์ที่ใช้สำหรับโปรโมท หรือโฆษณาเลย จนกระทั่ง Phone booth ถูกปล่อยออกมาเป็นวีดีโอ จึงจะเห็น Sutherland บนปก
- นักแสดงทุกคนในเรื่องจะติดหูฟังไว้ทุกคนดังนั้นพวกเขาจึงได้ยินเหมือนๆกันทุกคน
- Mel Gibson เคยถูกวางตัวให้เล่นเรื่องนี้ และเขาก็ได้แนะนำสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ซึ่งถือว่าช่วยได้มากแต่ในท้ายที่สุดเขาก็ได้ถอนตัวไป
- Michael Bay เคยได้รับการพิจารณาให้มากำกับเรื่องนี้ จนกระทั่งเขาพบกับผู้เขียนและผู้อำนวยการผลิต คำถามแรกที่เขาถามออกมาคือ "เราจะเอาเขาออกจากตู้โทรศัพท์อย่างไร?"
- คำว่า "Fuck" ถูกใช้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ถึง 143 ครั้ง
- เวลาที่ภาพยนตร์ใช้เป็นเวลาจริง
- คนขายหุ่นยนต์ของเล่นพูดภาษาสวาฮีลี และนอกจากนี้ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังทำออกมาเป็นภาษาสวาฮีลี ด้วย
- ภาษาสวาฮีลี (หรือ คิสวาฮีลี) เป็นภาษากลุ่มแบนตูที่พูดอย่างกว้างขวางในแอฟริกาตะวันออก ภาษาสวาฮีลีเป็นภาษาแม่ของ ชาวสวาฮีลี ซึ่งอาศัยอยู่แถบชายฝั่งของแอฟริกาตะวันออกระหว่างประเทศโซมาเลียตอนใต้ ประเทศโมแซมบิกตอนเหนือ มีคนพูดเป็นภาษาแม่ประมาณ 5 ล้านคนและคนพูดเป็นภาษาที่สองประมาณ 30-50 ล้านคน ภาษาสวาฮีลีได้กลายเป้นภาษาที่ใช้โดยทั่วไปในแอฟริกาตะวันออกและพื้นที่รอบ ๆ


Soundtrack
ตัวอย่างเพลงประกอบ กับ Track ที่ 11 มีชื่อว่า "Center Of Attention"

1. First Call9. Last Booth in NYC
2. Trapped10. It's Me You Want
3. Nypd11. Center Of Attention
4. The Rifle12. Telephone Users
5. Confession13. Is He Coming Out
6. Times Square14. Phone vs. Gun
7. Stu's Secret15. Just Say The World
8. Publicist Talk16. It Could Be Anyone


Directed byJoel Schumacher
Produced byGil Netter
David Zucker
Written byLarry Cohen
StarringColin Farrell
Forest Whitaker
Radha Mitchell
Katie Holmes
Kiefer Sutherland
Music byHarry Gregson-Williams
CinematographyMatthew Libatique
Editing byMark Stevens
Distributed by20th Century Fox
Release date(s)April 4, 2003
Running time81 minutes
CountryUnited States
LanguageEnglish
Swahili
Budget$10 million
Box office$97,837,138


Read More...

Wednesday, January 4, 2012

Case 39 (2009)

Emily Jenkins (Renée Zellweger) นักสังคมสังเคราะห์ ถูกมอบหมายให้ไปเยี่ยมบ้านของเด็กวัย 10 ขวบ Lilith Sullivan (Jodelle Ferland) จากการพูดคุยทำให้ Emily สงสัยว่า พ่อแม่ของเด็ก Edward and Margaret (Callum Keith Rennie และ Kerry O'Malley) จะกระทำการทารุณกับเด็ก ไม่นานนักความกลัวของ Emily ก็ได้รับการพิสูจน์ เมื่อพ่อแม่ของ Lilith จะจับเด็กน้อยเข้าเตาอบย่างสดทั้งเป็น!! แต่ Emily ก็มาช่วยเหลือได้ทันจากการช่วยเหลือของ นักสืบ Mike Barron (Ian McShane) ส่วนพ่อแม่ของเด็กขอถูกส่งเข้าสถานบำบัดทางจิต เพื่อตรวจสอบต่อไป ส่วนตัวเธอเองได้ตกลงใจว่าจะรับอุปการะเด็กน้อยไว้ก่อนจนกว่าจะหาครอบครัวที่จะอุปถัมป์เด็กน้อยได้แต่เหตุการณ์มันไม่ได้ราบรื่นอย่างที่เธอคิด เพราะการรับอุปการะเด็กน้อยเปรียบเสมือนการเชื้อเชิญความสยดสยองมาอยู่ข้างกายเธอ


Case 39 เป็นอีกเรื่องที่น่าจับตากับการพลิกบทบาทของ Renée Zellweger ผู้ที่โด่งดังเป็นพลุจาก Bridget Jones's Diary แต่ก็เหมือนโชคดีในโชคร้าย หลังจากเรื่อง Bridget Jones's Diary แล้ว ภาพเธอในบท Bridget Jones มันติดตาคนดูเสมอ เธอแสดงเรื่องไหนก็ไม่ประสบความสำเร็จในฐานะดารานำแสดงอีกเลย มีที่พอให้กระชุ่มกระชวยก็ การลดบทบาทตัวเองเป็นดาราสมทบหญิงในเรื่อง Cold Mountain ในปี 2003 จนทำให้เธอได้รับรางวัลออสการ์สาขาดาราสมทบหญิงยอดเยี่ยม ครั้งนี้อาจถือว่าเป็นลมหายใจอีกเฮือกนึงของเธอก็ว่าได้ แต่แล้วเธอกับเจองานที่หินมากกว่านั้นเมื่อมาเจอกับ Jodelle Micah Ferland นักแสดงเด็กชาวแคนาดา ถ้าไปดูประวัติการแสดงของเด็กคนนี้ต้องบอกว่าน่ากลัว ด้วยวัยเพียงสิบกว่าปี กลับมีผลงานอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้น และสำหรับบทบาทใน Case 39 ต้องบอกได้ว่าข่มบทบาทการแสดงของ Renée Zellweger เสียสนิท ส่วนพล็อตเรื่องของ Case 39 แล้วถ้าคนที่ดูภาพยนตร์สยองขวัญมามาก อย่าง The Omen หรือ Unborn หรือแนวๆนี้ ก็ไม่เหนือการคาดเดาสักเท่าไหร่นัก ที่น่าจับตามองก็น่าจะเป็นการแสดงของ Jodelle Micah Ferland ที่เข็นภาพยนตร์ไปได้ ส่วนแฟนๆของ Renée Zellweger คงต้องพยายามเอาใจช่วยให้เธออย่าถ้อและพยายามต่อไปอีกครับ


ประโยคเด็ดจากภาพยนต์
"She's in a safe environment with someone who understands her needs."


เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
- ภาพยนตร์ในฮอลลีวู้ดเรื่องแรกของ Christian Alvart ผู้กำกับสัญชาติเยอรมัน คือเรื่อง "Pandorum"
- ในวันที่ 31 ตุลาคม 2006 เกิดเหตุเพลิงใหม้ในแวนคูเวอร์ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำ แต่ไม่มีนักแสดงอยู่ในสถานที่ถ่ายทำและไม่มีใครได้รับบาดเจ็บร้ายแรงมีแต่สตูดิโอเท่านั้นที่เสียหายอย่างหนัก
- Case 39 เกิดโรคเลื่อนเป็นเวลาทั้งหมดถึง 3 ปี ถึงมีกำหนดลงจอที่อเมริกาในปี 2010


Soundtrack
Army of Angels เพลงประกอบภาพยนตร์ขับร้องโดย Nadeshda Brennicke ดนตรีโดย Michl Britsch และ Nadeshda Brennicke


Directed by Christian Alvart
Produced by Lisa Bruce
Steve Golin
Alix Madigan
Kevin Misher
Written by Ray Wright
Starring Ren?e Zellweger
Jodelle Ferland
Ian McShane
Bradley Cooper
Music by Michl Britsch
Cinematography Hagen Bodanski
Editing by Mark Goldblatt
Studio Paramount Vantage
Distributed by Paramount Pictures
Release date(s) August 13, 2009 (New Zealand)
October 1, 2010 (United States)
Running time 109 minutes
Country United States
Canada
Language English
Budget $27 million
Box office $28,189,979


Read More...

Nim's Island (2008)

Nim (Abigail Breslin) สาวน้อยวัน 11 ปี ที่สูญเสียแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก เธออาศัยอยู่กับพ่อ Jack Rusoe (Gerard Butler) ที่เป็นนักชีววิทยาทางทะเล ด้วยหน้าที่การงานของพ่อทำให้ Nim ต้องมาอาศัยอยู่บนเกาะทางใต้ของแปซิฟิค เกาะนี้จึงเปรียบเสมือนสนามเด็กเล่นของเธอ โดยมีเพื่อนเป็นเหล่าสัตว์ต่างๆที่อาศัยอยู่บนเกาะนั้น และมีหนังสือเล่มโปรด ที่เขียนโดย Alexandra Rover (Jodie Foster) นักเขียนสาว ผู้เป็นโรคกลัวที่ชุมชน ไม่กล้าแม้กระทั่งจะก้าวเท้าออกจากบ้าน วิธีการสร้างผลงานของนักเขียนสาวก็ด้วยการหาข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ท หรือวิธีอื่นๆที่เพียงแต่เธอไม่ต้องย่างกรายออกจากบ้านเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ทำให้เธอเกิดภาพหลอน เห็น Alex Rover (Gerard Butler) ตัวละครเอกจากเรื่องที่ตัวเองแต่ง และแล้ววันนึง พ่อของ Nim ต้องออกทะเลไปทำงาน และขาดการติดต่อทำให้ Nim อยู่เกาะตามลำพังและไม่สามารถติดต่อกับใครได้ ดูเหมือน Nim จะรู้จักแต่เพียง Alex Rover ตัวละครจากในนิยายว่าเป็นนักผจญภัย นักค้นหา จนในที่สุดความเดือดร้อนของ Nim ก็ส่งถึง Alexandra Rover เมื่อนักเขียนสาวถึงรู้ความเดือดร้อนของ Nim แล้วยังจะการสำทับ จาก Alex Rover ตัวละครที่เกิดจากจินตนาการของ Alexandra Rover ว่าจะดูดายเด็ก 11 ขวบบนเกาะ แถมยังเป็นแฟนผลงานตนเอง จะทอดทิ้งไปได้อย่างไร ทำให้ Alexandra Rover ตัดสินใจออกเดินทาง(ทั้งๆที่ไม่กล้าแม้จะออกจากบ้าน)ไปช่วยเหลือ Nim เหตุการณ์อันชุมมุลอันมากมายยังรออยู่ข้างหน้า โดยมี เกาะทางใต้ของแปซิฟิคเป็นจุดหมาย


Nim's Island ภาพยนตร์แนวครอบครัวบวกกับการผจญภัย ผลงานกำกับและเขียนบทโดยสองสามีภรรยา Jennifer Flackett และ Mark Levin โดยสร้างจากหนังสือ ของ Wendy Orr ที่ได้ Jodie Foster นักแสดงผู้มากความสามารถ จับคู่กับ Gerard Butler ที่แจ้งเกิดจากภาพยนตร์เรื่อง 300 และยังได้ Abigail Breslin มารับบท Nim ที่เธอเคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขาดาราสมทบหญิงยอดเยี่ยมกับบท Olive ใน Little Miss Sunshine (2006) Nim's Island เป็นภาพยนตร์เต็มไปด้วยความอบอุ่น ดูสบายๆเสริมสร้างแนวคิดได้อย่างดี เหมาะแก่การดูกันหลายๆคนภายในครอบครัว และเป็นอีกเรื่องนึง ที่แนะนำให้เด็กๆดู


ประโยคเด็ดจากภาพยนต์
"Be the hero of your own life story."


เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
- โรคที่ Alexandra Rover ที่รับบทโดย Jodie Foster เป็นคือโรค Agoraphobia คือ โรคกลัวที่ชุมชนหรือ อาการกลัวที่โล่ง เป็นโรควิตกกังวลชนิดหนึ่งซึ่งเกิดจากความกลัวที่จะเกิดอาการตื่นตระหนก (panic attack) ในสถานที่ที่หนีออกไปลำบากหรือไม่มีคนช่วยเหลือ ผู้ป่วยจากโรคกลัวที่ชุมชนจึงมักหลีกเลี่ยงสถานที่สาธารณะหรือสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ในผู้ป่วยที่อาการรุนแรงอาจหมกตัวอยู่ในบ้านและไม่กล้าออกจากสถานที่ที่คิดว่าปลอดภัย
- หนังสือที่ แต่งเรื่อง Alex Rover ล้อเลียนจากเรื่อง Alex Rider ที่เป็นซีรีย์สปายวัยรุ่นสุดฮิต แต่งโดย Anthony Horowitz
- สร้างจากหนังสือในชื่อเดียวกัน เขียนโดย Wendy Orr ตีพิมพ์ครั้งแรกปี 1999 ที่ออสเตรเลีย แล้วจึงมาตีพิมพ์ในอเมริกาในปี 2000
- Wendy Orr ผู้แต่งเรื่อง Nim's Island เกิดที่แคนาดา แต่เนื่องจากหน้าที่การงานของบิดาทำให้เธอต้องเดินทางบ่อยครั้งและเติบโตในหลายๆสถานที่ จนท้ายสุดได้พบกับสามีชาวออสเตรเลียเธอจึงตกลงใจย้ายภูมิลำเนาอยู่ออสเตรเลีย
- ในวัย 9 ขวบ Wendy Orr ได้เขียนเรื่องสั้น ชื่อว่า "Spring Island" ซึ่งมันได้กลายเป็นดร๊าฟท์แรกของเรื่อง Nim's Island
- สิงโตทะเลที่ใช้ในภาพยนตร์ มีชื่อว่า Spud และ Friday ทั้งคู่อยู่ที่สวนสัตว์น้ำ Sea World ในออสเตรเลีย และทั้งคู่ผลัดกันรับบท Selkie ในภาพยนตร์เรื่องนี้
- ในขณะที่ Selkie บทสิงโตทะเลต้องใช้สิงโตทะเลตัวจริงถึงสองตัว แต่ Gerard Butler กลับต้องรับบทถึงสองบทในเรื่องนี้ คือ Jack Rusoe พ่อผู้อบอุ่น และ Alex Rover นักผจญภัยจอมยียวน
- Lulu Mickelson ลูกสาวผู้อำนวยการสร้างและผู้เขียนบท Paula Mazur ปรากฎตัวสั้นๆ ในฉากสนามบินในขณะที่ผู้โดยสารกำลังต่อแถวในจุดตรวจ เพื่อตรวจสอบความปลอดภัย
- พิกัดที่กำหนดสำหรับ Nim's Island (20 องศาใต้, 160 องศาตะวันตก) ทำมันถูกวางอยู่ตรงกลางของจุดอับของหมู่เกาะคุก


Soundtrack
สำหรับเพลงประกอบภาพยนต์ ถูกปล่อยให้กับมือขมังอย่าง Patrick Doyle ผู้ทำเพลงประกอบภาพยนตร์มาตั้งแต่ปี 1989 เชื่อมือได้แน่นอน ลองสัมผัสกับแทร็คสุดท้ายกับเพลง Nim Sees Jack

1. Nim's Island - Patrick Doyle9. Lizard Attack
2. Baby Turtles10. Volcano Erupts
3. Galileo Helps Jack11. Helicopter Storm
4. Volcano & Door12. Woman Overboard
5. Buccaneer Ship13. Alex Nearly Drowns
6. Become the Hero14. Alex Swims Away
7. The Great Outdoors15. It's Empty
8. Airport, Whale16. Nim Sees Jack


Directed byJennifer Flackett
Mark Levin
Produced byCary Grant
Paula Mazur
Written byJennifer Flackett
Mark Levin
Joseph Kwon
Paula Mazur
Book:Wendy Orr
StarringAbigail Breslin
Jodie Foster
Gerard Butler
Music byPatrick Doyle
StudioWalden Media
Distributed by20th Century Fox (USA)
Universal Pictures (Latin America,UK,Canada)
Summit Entertainment (Outside USA)
Release date(s)April 4, 2008
CountryUnited States
LanguageEnglish
Budget$37,000,000
Box office$100,076,342

Read More...

Sunday, October 2, 2011

Exam (2009)

ชายหญิงทั้ง 8 คนได้ถูกเลือกให้เข้ามาทดสอบกับองค์กรขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ห้องที่ใช้ทำการทดสอบเป็นห้องปิดตายมีทางเข้าออกทางเดียว ในห้องจัดที่นั้งไว้ 8 ที่ พร้อมวางกระดาษไว้บนโต๊ะละแผ่นโดยมีเวลาทำข้อสอบ 80 นาที ทีจะต้องตอบคำถาม 1 คำถาม ที่จะมีเพียง 1 คำตอบที่ถูกต้อง ภายใต้เงื่อนไข 3 ข้อคือ ห้ามคุยกับผู้คุมสอบ(Colin Salmon)หรือการ์ดที่ยืนคุมเชิงอยู่ที่ประตู ห้ามทำลายกระดาษคำถามไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตามและห้ามออกจากห้องสอบไม่ว่าเหตุผลใดๆ หลังจากการอธิบายรายละเอียด และมีการทวนความเข้าใจ ผู้คุมสอบให้สัญญาณเริ่มทำข้อสอบและออกจากห้องไป แต่เฝ้ามองผู้เข้าสอบผ่านกล้องวงจรปิดตลอดเวลา ในขณะที่ผู้เข้าสอบทั้ง 8 ต่างหยิบกระดาษคำถาม เพื่อพลิกขึ้นมาเพื่อจะทำข้อสอบ แต่พวกเขากับพบแต่หน้ากระดาษอันว่างเปล่า ไม่มีอะไรที่จะบ่งบอกว่าจะมีคำถามในการทดสอบ ในขณะที่เวลา 80 นาที เริ่มนับถอยหลัง พวกเขาทั้ง 8 ต้องรีบหาคำถามเพื่อจะตอบคำถามนั้น ให้ทันตามเวลาที่กำหนด ตามเหตุผลที่แต่ละคนปิดบังไว้ พวกเขาจะพลาดงานนี้ไม่ได้ ถ้าหากพลาดงานนี้จะมีผลต่ออนาคตหรือแม้แต่ชีวิตของพวกเขาเอง

Exam ภาพยนตร์สัญชาติอังกฤษ กำกับโดย Stuart Hazeldine ผู้กำกับชาวอังกฤษ เป็นภาพยนตร์ทุนต่ำ กับฉากเพียงไม่กี่ฉากพร้อมด้วย นักแสดงก็ไม่คุ้นหน้านัก ที่พอจะเห็นผลงานผ่านตาบ้าง ก็น่าจะเป็น Colin Salmon (มีผลงานจาก Resident Evil ,เจมส์ บอนด์) และ Jimi Mistry (รับบทนักวิทยาศาสตร์ชาวอินเดียตอนต้นเรื่อง ใน 2012) Exam ดำเนินเรื่องด้วยการสอบข้อเขียนเพื่อทดสอบความสามารถของผู้สมัครทั้ง 8 คน เพื่อเข้าทำงานในบริษัทแห่งหนึ่ง ทั้งๆที่ผู้สมัครยังไม่รู้รายละเอียดของตำแหน่งที่ตัวเองสมัครหรือข้อมูลบริษัทดีนัก รู้แต่เพียงว่าจะต้องได้รับผลตอบแทนที่ดี โดยลักษณะห้องสอบมีลักษณะเป็นห้องปิดตาย มีทางเข้าออกทางเดียว ทั้ง 8 คน มีเวลา 80 นาที ที่จะตอบคำถาม ที่มีเพียง 1 คำตอบภายใต้เงื่อนไข ห้ามติดต่อกับผู้คุมสอบ และการ์ดประจำห้องสอบ ห้ามทำให้กระดาษคำถามเสียหายห้ามออกจากห้องสอบ ทั้งหมดนี้จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ห้ามออกจากห้องสอบ ถ้าหากฝ่าฝืนจะต้องหมดสิทธิ์สอบทันที เนื้อเรื่องของ Exam นั้นเรียบง่าย(มาก) แถมยังแสดงให้เห็นการใช้เล่ห์เหลี่ยมของมนุษย์สารพัดวิธี เพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการโดยไม่เลือกวิธี ในขณะที่หนังแสดงถึงการดำเนินการสารพัดวิธีในการหาค้นหา ตัวหน้งก็ได้เริ่มเล่าเรื่องลักษณะของตัวละครแต่ละคนและสภาวะของสังคมภายนอก เพื่อให้รู้ที่มาที่ไปและให้คนดูเข้าใจสถานการณ์ควบคู่กันไปด้วย ซึ่งในภายหลังคนดูจะเข้าใจว่าทำไมถึงต้องมีการคัดเลือกที่ลำบากยากเย็นขนาดนี้

การนำเสนอของ Exam จะออกไปทางเล่นกับคนดูและพยายามสร้างบรรยากาศกดดันบีบคั้นภายในหนัง และค่อยๆคลี่คลายออกมา จนคนดุเองต้องออกปากว่า "มันง่าย" ขนาดนี้เลยเหรอ นั้นเป็นชั้นเชิงของการนำเสนอที่ทำให้ Exam จัดเป็นหนังที่น่าดูอีกเรื่องหนึ่งอย่างแน่นอน

ประโยคเด็ดจากภาพยนต์
"All each of us can do today is lose what we've already won through selfishness, stupidity, and impatience! "

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
- นอกจาก Stuart Hazeldine จะกำกับ Exam แล้ว ยังเป็นผู้แต่งร่วมกับ Simon Garrity และยังอำนวยการผลิตร่วมกับ Gareth Unwin
- Stuart Hazeldine กำกับ Exam เป็นเรื่องแรก ส่วน Christian ที่เขากำกับในปี 2005 นั้น เป็นหนังสั้น
- เรทของภาพยนตร์ อยู่ในเรทภาพยนตร์ที่เหมาะกับผู้ชมอายุ 15 หรือมากกว่า (เรทของอังกฤษ ที่อยู่มุมขวาล่างของโปสเตอร์)

Directed by Stuart Hazeldine
Produced by Stuart Hazeldine
Gareth Unwin
Written by Stuart Hazeldine
Simon Garrity
Starring Colin Salmon
Jimi Mistry
Luke Mably
Gemma Chan
Music by Stephen Barton
Matthew Cracknell
Cinematography Tim Wooster
Editing by Mark Talbot-Butler
Studio Bedlam Productions
Hazeldine Films
Distributed by Independent
Release date(s) June 2009 (EIFF)
8 January 2010 (United Kingdom)
Running time 101 minutes
Country United Kingdom
Language English

Read More...