Saturday, August 28, 2010

Nanny McPhee and the Big Bang (2010)

ในชนบทอันแสนสงบสุข ห่างไกลจากความวุ่นวายแม้จะอยู่ในช่วงเวลาสงคราม คุณแม่ลูกสาม Isabel Green (Maggie Gyllenhaal) กลับต้องใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ที่จะดูแลฟาร์มและปกป้องรักษาฟาร์มเอาไว้จาก Phil (Rhys Ifans) ลุงเจ้าเล่ห์ ไปพร้อมกับดูแลลูกแสนซนทั้ง 3 ซึ่งประกอบไปด้วย Norman (Asa Butterfield), Megsie (Lil Woods) และ Vincent (Oscar Steer) ในระหว่างที่สามีของเธอถูกเกณฑ์ไปรบ แต่ปัญหามาถึงขีดสุดเมื่อญาติของเธอส่งหลานสองคน Cyril (Eros Vlahos) และ Celia (Rosie Taylor-Ritson) ที่โดนตามใจจนเสียเด็ก มาอยู่ทีฟาร์มด้วย เมื่อลูกสามหลานสองของเธอมาเจอกันมันก็เหมือนกับเกิดสงครามย่อยๆภายในบ้านขึ้น ระหว่างที่เธอเริ่มเหนื่อยและสิ้นหวังกับเรื่องราวต่างๆ กลับได้ยินเสียงลึกลับชี้ทางออกให้ กับเธอถึงคนที่สามารถช่วยเธอได้คือ Nanny McPhee (Emma Thompson) เท่านั้น และแล้ว Nanny McPhee หญิงนิรนามก็ปรากฎกายในคืนที่พายุโหมกระหน่ำ พร้อมกับบทเรียนชีวิตทั้ง 5 ให้กับเด็กทั้ง 5

Nanny McPhee กับการกลับมาอีกครั้งหลังจากห่างหายไป 5 ปี ใน 2010 นี้ Nanny McPhee มาพร้อมเวทมนต์และอิทธิฤทธิ์มากขึ้นกว่าภาคแรกเยอะ Nanny Mcphee ปี 2010 กับปี 2005 แทบจะแยกออกจากกัน หรือไม่เกี่ยวข้องกันเลยนอกจากตัว Nanny McPhee และตัวละครเชื่อมโยงอีกคนนึง ซึ่งอาจทำให้เรารู้ว่าเป็นหนังที่สัมพันธ์กัน ในปี 2010 นี้ เราจะได้เห็นว่า Nanny McPhee ยังเคยไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กอีกหลายบ้าน พร้อมกับการเปิดตัวคู่หูของ Nanny McPhee ที่มาเพิ่มสีสันต์ให้กับหนังมากขึ้น สำหรับ Emma Thompson นักแสดงมากความสามารถ ยังคงเขียนบทและรับบทเป็น Nanny McPhee เหมือนเดิม

Nanny McPhee กับบทเรียนทั้ง 5
บทเรียนที่ 1 หยุดทะเลาะหัน
บทเรียนที่ 2 แบ่งปัน
บทเรียนที่ 3 ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
บทเรียนที่ 4 กล้าหาญ
บทเรียนที่ 5 มีศรัทธา
เมื่อผ่านบทเรียนแต่ละบท ความอัปลักษณ์ของ Nanny McPhee จะค่อยๆหายไป

Nanny Mcphee ยังคงเป็นหนังแนวครอบครัวเนื้อหาอบอุ่นเช่นเดิม เพิ่มเทคนิคพิเศษและฉากตระการตามากขึ้นเพลงประกอบไพเราะ เหมาะกับทุกเพศทุกวัย Nanny McPhee อาจจะถูกมองว่าเป็นหนังเด็กๆหรือสำหรับเด็กๆดู แต่ก็สามารถเป็นหนังที่สร้างความทรงจำที่ดีให้กับใครก็ได้โดยไม่แบ่งแยก เหมือนกับที่เคยทำได้มาแล้วครับ

ปฏิเสธไม่ได้เลย สำหรับการทำภาพยนต์ เพลงประกอบภาพยนต์มีส่วนที่ช่วยเพิ่มอรรถรสให้กับภาพยนต์มากยิ่งขึ้น ซึ่งครั้งนี้ ได้ James Newton Howard ผู้ประพันธ์เพลงประกอบภาพยนต์ จอมเก๋ามากไปด้วยประสบการณ์ กับผลงานยาวเหยียด (อาทิเช่น The Fugitive, Wyatt Earp, French Kiss, My Best Friend's Wedding, Pretty Woman, The Sixth Sense, The Village, Blood Diamond, I Am Legend, Confessions of a Shopaholic, Salt ) ขอยกตัวอย่างพอสังเขป ถ้ายกมาหมดเห็นทีจะไม่ไหว นั้นเป็นเหตุผลที่เห็นได้ชัดแล้วว่า James Newton Howard เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง ซึ่งการได้เขามาประพันธ์เพลงประกอบเป็นช่วยเพิ่มอรรถรสในการชมภาพยนต์เรื่องนี้ยิ่งๆขึ้นไปอีก

Music by James Newton Howard

1.Coping Very Well (01:27)2.The Person You Need (02:07)
3.Topsey and Turvey (01:00)4.The British Museum of Poo (00:50)
5.It's Only Jam (01:51)6.Small C, Big P (03:37)
7.The Way I Work (02:02)8.Stop Fighting Immediately (04:43)
9.Animals on the Stairs (02:12)10.Sharing Nicely (02:05)
11.Pursuit of the Piglets (02:16)12.Synchronized Snouts (00:53)
13.Where's Mummy? (03:32)14.Triumphant Trappers (04:03)
15.Phil's Contract (01:29)16.Nanny McPhee We Need You (01:04)
17.The Telegram (01:57)18.Speeding Through London (01:57)
19.The Blue Wire (04:46)20.An Explosion-Free Day (02:29)
21.The Burp Heard 'Round The World (01:51)22.The Harvest (02:05)
23.Leaps of Faith (05:47)24.Animated Titles (02:58)

ตัวอย่าง เพลงประกอบ กับ Track ที่ 22 เพลง The Harvest

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
- Nanny McPhee (2005) ดัดแปลงจากเรื่อง Nurse Matilda ปลายปากกาของ Christianna Brand (1907–1988)
- Nanny McPhee and the Big Bang (2010) ยังใช้ตัวละครหลักเป็น Nanny McPhee เหมือนเดิม แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ Nurse Matilda แล้ว

ประโยคเด็ดจากภาพยนตร์
"worry too much, and it doesn't help."

Directed by
Susanna White
Produced by
Tim Bevan
Eric Fellner
Lindsay Doran
Written by
Emma Thompson (Screenplay)
Christianna Brand (Books)
Starring
Emma Thompson
Maggie Gyllenhaal
Asa Butterfield
Ralph Fiennes
Rhys Ifans
Maggie Smith
Ewan McGregor
Music by James Newton Howard
Cinematography Mike Eley
Editing by Sim Evan-Jones
Studio
StudioCanal
Relativity Media
Working Title Films
Distributed by Universal Pictures
Release date(s) United Kingdom
26 March 2010
Australia
1 April 2010
United States & Canada
20 August 2010
Running time 109 minutes
Country United Kingdom
France
United States
Language English
Budget $35,000,000
Gross revenue $70,910,000

Read More...

Tuesday, August 24, 2010

The Descent Part 2 (2009)

เหตุการณ์ผ่านไป 2 วัน ในขณะที่ทีมงานค้นหาก็เร่งตามหาผู้ที่สูญหายจากการเข้าไปในถ้ำ Sarah (Shauna Macdonald) สามารถออกจากถ้ำมาได้อย่างปลอดภัย แต่ต้องถูกนำส่งโรงพยาบาลเนื่องจากอยู่ในสภาพที่ช็อคสุดขีดจนจำอะไรไม่ได้ เธอจึงคนเดียวที่เป็นกุญแจดอกสำคัญในการไขความจริงออกมา จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เธอต้องถูกตรวจสอบอย่างละเอียด จบพบคราบเลือดของผู้สูญหาย บนเสื้อของ Sarah เอง เธอจึงตกเป็นผู้ต้องสงสัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นายอำเภอ Vaines (Gavan O'Herlihy) ได้พยายามเค้นความจริงจากเธอ แต่เนื่องจากเธอ สูญเสียความทรงจำ จึงทำให้ นายอำเภอ Vaines ตัดสินใจบังคับให้ Sarah ลงไปในถ้ำกับทีมค้นหา เืพื่อที่ว่าบางทีความจำเธออาจจะกลัีบคืนมาได้บ้าง โดยมี ผู้ช่วยของนายอำเภอ Elen Rios (Krysten Cummings) พร้อมกับทีมผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านประกอบไปด้วย Dan (Douglas Hodge), Greg (Joshua Dallas) และ Cath (Anna Skellern) เข้าไปยังถ้ำโดย ผ่านทางเหมืองเก่า ซึ่งปากทางเข้าใหม่นี้ถูกค้นพบโดยสุนัขดมกลิ่น ระหว่างที่ก้าวเข้าไปทีละเล็กละน้อยความทรงจำอันน่าสะพรึงกลัวของ Sarah ก็เริ่มกลับคืนมา พร้อมความดิบ ระห่ำ และคาวเลือดครั้งใหม่!!!

หลังจากที่ The Descent ประสบความสำเร็จในภาคแรก ทำให้ Neil Marshall ผู้กำกับขึ้นไปทำหน้าที่ Executive producer และปล่อยให้การกำกับในภาคนี้ ตกเป็นของ Jon Harris ชาวเมืองSheffield มือตัดต่อในภาคแรก และภาค 2 นี้ เขาก็ยังรับหน้าที่ตัดต่อควบไปด้วย

อย่างที่ทราบกันแล้วว่า The Descent ในภาคแรกมีฉากจบ 2 แบบ คือหนีออกจากถ้ำได้ และ ที่ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าหนีออกมาได้ (จะเห็นฉากจบทั้ง 2 แบบได้จาก DVD Unrate โซน 1) หนังภาคต่อสู้ภาคแรกไม่ได้อย่างไม่ต้องสงสัย เป็นหนังตลาดสูงคล้ายหนังฮอลลีวู๊ดทั่วไป แต่เนื่องจากได้นักตัดต่อมือฉมังมาเป็นผู้กำกับ เลยอาละวาดการตัดต่อได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ภาคสองมีฉากรุนแรงค่อนข้างเยอะ และนำเสนออย่างตรงไปตรงมาอยู่หลายฉาก ซึ่งถ้าคุณเป็นคนประสาทแข็งจะเห็นว่า 99 นาที ผ่านไปเร็วมาก อันเป็นผลมาจากการตัดต่ออันลื่นไหลของ Jon Harris หนังภาค 2 นี้ตบท้ายด้วยการทิ้งปริศนาให้เรา รู้ว่าน่าจะมีภาคต่อไปแน่ๆ(ถ้ามีคนให้ทุนทำต่อ)

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
- ในภาค 2 นี้ กล่าวถึงเหตุการณ์จากภาคแรกผ่านไป 2 วัน แต่ตัวหนังภาคแรกห่างจากภาคที่ 2 ถึง 4 ปี
- Jon Harris กับผลงานการตัดต่อของเขา ได้แก่ Kick-Ass (2010), The Descent Part 2 (2009), The Pond (2008), Eden Lake (2008), Stardust (2007), Starter for 10 (2006), Being Cyrus (2005), The Descent (2005), The Banker (2004), Long Way Round (Television, 2004 - 2005), Layer Cake (2004), The Calcium Kid (2004), dot the i (2003), Occasional, Strong (2002), Ripley's Game (2002), Snatch. (2000), The Second Death (2000), Comedy Lab (Television, 1999 - Ongoing) and Holiday Romance (1998)
- The Descent Part 2 นี้ เป็นการกำกับครั้งแรกของ Jon Harris
- ถึงแม้เหตุการณ์เกิดที่อเมริกาเหนือ แต่การถ่ายทำก็ยังคงถ่ายทำที่อังกฤษเหมือนเดิม

ประโยคเด็ดจากภาพยนตร์
"Silence is your best weapon."

Soundtrack
1.Mountain Opening 0.542.Sarah Freaks Out 3.31
3.What Happened 1.564.Cath and the Crawler 2.54
5.Drive to Chapel Mine 1.086.Exploring the Mine 3.14
7.Pursuing Vaines 3.368.Cath Is Trapped 2.16
9.Attack and Fall 2.3110.Alone in the Cave 1.10
11.Juno Returns 1.4012.>Rios Leaves a Message 2.09
13.The Pit 3.5114.The Rock Bridge 3.06
15.The Feeding Chamber 2.59 16.The Descent: Part 2 4.03

ตัวอย่าง เพลงประกอบ กับ Track ที่ 1 เพลงเปิด Mountain Opening



Directed by
Jon Harris
Produced by
Ivana Mackinnon
Christian Colson
Written by
James Watkins
J. Blakeson
James McCarthy
Starring
Shauna Macdonald
Natalie Mendoza
Douglas Hodge
Axelle Carolyn
Gavan O'Herlihy
Joshua Dallas
Anna Skellern
Music by David Julyan
Cinematography Sam McCurdy
Editing by Jon Harris
Distributed by
Lionsgate
Warner Bros.
Pathé
Celador Films
Release date(s)
United Kingdom 31 August 2009 (Frightfest), 29 October 2009 (Grimm Up North! Horror Film Festival), 2 December 2009 (wide)
United States 27 April 2010 (DVD premiere)
Running time 94 minutes
Country United Kingdom
Language English
Gross revenue $5,118,907


Read More...

Sunday, August 22, 2010

The Descent (2005)

หนึ่งปีหลังจากอุบัติเหตุร้ายแรงที่สก๊อตแลนด์ที่ทำให้ Sarah (Shauna Macdonald) สูญเสียลูกสาวและสามีไป เหล่าเพื่อนๆของเธอ นำโดย Juno (Natalie Mendoza), Sarah, Beth (Alex Reid), Sam (MyAnna Buring), Rebecca (Saskia Mulder)และ Holly (Nora-Jane Noone) จึงได้นัดรวมตัวกันอีกครั้งที่บ้านพัก บริเวณเทือกเขาแอพพาลาเชี่ยน(Appalachian Mountain) เพื่อเข้าไปสำรวจถ้ำ แต่ระหว่างที่เพลิดเพลินกับการสำรวจ กับเกิดเกิดการสั่นสะเทือนภายในถ้ำ ทำให้ก้อนหินตกลงมาปิดเส้นทางเดิมที่เข้ามา พวกเธอไม่สามารถย้อนกลับไปยังเส้นทางเดิมได้ เหตุการณ์นี้ทำให้ทั้งหมดพบว่า ถ้ำที่เข้ามาสำรวจ เป็นถ้ำที่ยังไม่มีอยู่ในแผนที่ ไม่มีชื่อ และยังไม่มีใครเข้ามาสำรวจ จากความสนุกสนานกลับกลายเป็นการดิ้นรนหาทางออก ควบคู่ด้วยการที่พวกเธอต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดอย่างสุดกำลังจากบางอย่างที่กำลังคืบคลานเข้าหาพวกเธอ พร้อมทั้งการพิสูจน์มิตรภาพของพวกเธอเอง

The Descent เป็นหนัง สัญชาติอังกฤษ แนว Horror เกี่ยวกับกลุ่มหญิงสาว 6 คน ที่ไปติดอยู่ในถ้ำที่ยังไม่ได้รับการสำรวจ ทั้งเรื่องแทบจะไม่มีบทของผู้ชายเลย หนังเดินเรื่องด้วยนักแสดงหญิงล้วน เราจะได้เห็นการปีนป่ายถ้ำอย่างสมบุกสมบัน พอๆกับผู้ชาย ดูแปลกตา นอกจากนี้ The Descent ยังได้จับเอาความเป็นหญิง รวมเข้ากับความดิบ ระห่ำ มิตรภาพและคาวเลือดเข้าด้วยกันได้ ซึ่งถือเป็นเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้

The Descent ตามเนื้อเรื่องแล้วเป็นเหตุการณ์ที่เกิดที่ เทือกเขาแอพพาลาเชี่ยน(Appalachian Mountain) ซึ่งอยู่ทางอเมริกาเหนือ แต่ทางคณะผู้ถ่ายทำที่ Ashridge Park ในประเทศอังกฤษแทน ส่วนฉากภายในถ้ำถ่ายทำใน Pinewood Studios ที่อังกฤษเช่นกัน

The Descent เปิดตัวกับคำกล่าวที่ว่า "The best horror-thriller since ALIEN." ถ้าคุณลองหยิบมาดูคุณจะพบว่าไม่เกินความจริงเลย

ประโยคเด็ดจากภาพยนตร์
"The only light down here is ours."

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
- ถึงแม้ฉากหลักของเรื่องจะเป็นที่อเมริกาเหนือแต่ส่วนใหญ่ถ่ายทำที่ประเทศอังกฤษ โดยเฉพาะฉากที่ถ่ายทำในถ้ำ จะถ่ายใน Pinewood Studios ทีประเทศอังกฤษ เพราะทีมงานมีความเห็นว่าถ้าถ่ายในถ้ำจริงๆจะอันตรายเกินไป
- Neil Marshall เป็นทั้งผู้กำกับของและเขียนบท ผลงานชิ้นแรกของเขาคือ Dog Soldiers เป็น หนังคัลท์ (cult film)
- The Descent มีฉากจบ 2 แบบ

Directed by Neil Marshall
Produced by Christian Colson
Written by Neil Marshall
Starring
Shauna Macdonald
Natalie Mendoza
Alex Reid
Saskia Mulder
MyAnna Buring
Nora Jane Noone
Music by David Julyan
Cinematography Sam McCurdy
Editing by Jon Harris
Distributed by
Pathé(Europe)
Lionsgate (North America)
Release date(s)
United Kingdom
6 July, 2005 (Dead by Dawn Horror Film Festival) (premiere)
8 July, 2005 (wide)
3 May, 2008 (Frightfest)
United States
2 April, 2006 (Philadelphia International Film Festival)
10 June, 2006 (Waterfront Film Festival)
4 August, 2006
January 2006 (Sundance Film Festival)
Running time 99 min.
Country United Kingdom
Language English
Budget £3,500,000
Gross revenue $57,051,053


Read More...

Saturday, August 21, 2010

The Box (2009)

เช้าตรู่ในปี 1976 ที่ รัฐเวอร์จิเนีย เสียงกริ่งหน้าบ้านของครอบครัว Lewis ดังขึ้นพร้อมกับมีกล่องของขวัญถูกวางทิ้งไว้ที่ประตูเมื่อแกะข้างในพบว่าเป็นกล่องไม้ที่มีปุ่มสีแดงอยู่ข้างบนหนึ่งปุ่มพร้อมข้อความ "Steward(Frank Langella) จะมาหาคุณตอนห้าโมงเย็น" เมื่อถึงเวลานัด บุรุษลึกลับได้ยื่นข้อเสนอทีเกี่ยวกับกล่องลึกลับต่อ Norma (Cameron Diaz) เพียงแต่พวกเขากดปุ่มบนกล่อง จะมีคนที่ครอบครัว Lewis ไม่รู้จักจะต้องตาย และครอบครัว Lewis จะได้รับเงินสดหนึ่งล้านดอลลาห์สหรัฐทันที แต่มีเงื่อนไข 3 ข้อ
หนึ่ง ไม่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผู้จ้างงาน
สอง ไม่อนุญาตให้คุยเรื่องนี้กับใครนอกจากสามี
สาม มีเวลา 24 ชั่วโมง เมื่อครบตามเวลาที่กำหนดไว้กล่องจะถูกรับกลับ พร้อมทั้งถูกโปรแกรมใหม่และข้อเสนอจะถูกมอบให้กับคนอื่นต่อNorma และ Arthur(James Marsden) ผู้เป็นสามีร่วมชะตากรรม ที่เต็มไปด้วยความสับสน สงสัย ต่อข้อเสนอที่ได้รับ ไม่ว่าทั้งสองจะเลือกทางไหน กล่องลึกลับใบนั้นก็ได้เปลี่ยนชีวิตเขาทั้งสองไปตลอดกาล

The Box ถูกจัดอยู่ในประเภท science fiction–thriller/horror สร้างมาจากเรื่องสั้น เรื่อง Button, Button ของ Richard Matheson ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกใน Playboy ปี 1970 และยังได้ถูกบรรจุอยู่ในซีรีย์ The Twilight Zone (1985-1986) ในชื่อตอน Button, Button

The Box เป็นหนังอีกเรื่องที่นำกิเลสของมนุษย์มาเล่น หนังแสดงให้เห็นว่าถ้ามนุษย์ยังทำตามกิเลสของตัวเองเหตุการณ์จะเกิดเป็นลูกโซ่ไม่มีวันจบ ซึ่งในฉบับนี้(2009)ได้ Cameron Diaz และ James Marsden ซึ่งเรามักจะคุ้นหน้ากันดีในจากผลงานส่วนใหญ่ของพวกเขาจะเป็นแนว comedy สำหรับ Cameron Diaz แล้วไม่เท่าไหร่เพราะพักหลังๆเธอมักจะเริ่มจับหนังแนว Drama บ้างแล้ว(อาทิ My Sister's Keeper) แต่ในส่วนของ James Marsden ผลงานส่วนมากของเขา(หรือแทบทั้งหมด)หนักไปทางแนว Comedy มากกว่า แต่ทั้งคู่ก็ทำได้ดีกับบทบาท(ใหม่)ที่ได้รับ ประกอบกับได้รับการเติมเต็ม จากนักแสดงรุ่นใหญ่จอมเก๋า อย่าง Frank Langella ซึ่งบทดังกล่าวทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ใน Saturn Award(รางวัลที่มอบให้แก่ภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ แฟนตาซี และสยองขวัญ) ซึ่งช่วยส่งให้หนังมีมิติมากยิ่งขึ้น

ประโยคเด็ดจากภาพยนตร์
"Your home is a box
You car is a box on wheels
You drive to work in it
You drive home in it
You're sitting your home staring into a box
It erodes your soul while the box that is your body inevitably withers and dies.
We are upon and just placed in the ultimate box to slowly decompose."

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
- Frank Langella ผู้รับบท Arlington Steward เคยรับบท เป็นทั้ง ผีดิบเค้าท์แดร็กคูล่า(Dracula 1979) เป็นทั้งยอดนักสืบนามกระเดื่อง(Sherlock Holmes 1981) หรือแม้แต่เป็นประธานาธิบดี(Frost/Nixon 2008) มาแล้ว(หลากหลายจริงๆ)
- The Box 2009 ฉายในโรงภาพยนตร์ครั้งแรกที่ออสเตรเลีย
- James Marsden เราจะเห็นเขาบ่อยมากในภาพยนตร์แนว romantic comedy นอกจากนั้นยังมีภาพยนต์อีกเรื่องที่เขาแสดงเราแทบจะไม่ได้เห็นดวงตาเขาเลย ภาพยนต์เรื่องนั้นคือ X-Men บทที่เขาได้รับคือ Scott Summers หรือ Cyclops

Directed by
Richard Kelly
Produced by
Richard Kelly
Dan Lin
Sean McKittrick
Written by
Richard Matheson
(short story)
Richard Kelly
(screenplay)
Starring
Cameron Diaz
James Marsden
Frank Langella
Music by
Win Butler
Régine Chassagne
Owen Pallett
Cinematography Steven Poster
Editing by Sam Bauer
Studio
Radar Pictures
Media Rights Capital
Distributed by Warner Bros. Pictures
Release date(s)
October 29, 2009 (2009-10-29)(Australia)
November 6, 2009
Running time 115 minutes
119 minutes Pay Per View
Country United States
Language English
Budget $25–30 million
Gross revenue $31,574,379

The Box Trailer

Read More...

Thursday, August 19, 2010

Let the Right One In (2008)

ในปี 1982 Oskar(Kåre Hedebrant) เด็กชายวัย 12 ปี อาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นกับแม่ทางตะวันตกของกรุงสต็อคโฮล์ม สวีเดน Oskar เด็กชายจอมหงอชอบเก็บตัว โดนเพื่อนแกล้งเป็นประจำซึ่งที่เขายังไม่เคยตอบโต้ ได้แต่คิดอาฆาตแค้นเก็บกดไว้ในใจตัวเองตลอดมา ในคืนหนึ่ง กลางสวนเด็กเล่นของอพาร์ทเม้นอันเหน็บหนาว เขาได้พบกับ Eli(Lina Leandersson) เด็กหญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขา ซึ่งย้ายมาอยู่ห้องติดๆกันพร้อมกับผู้ติดตามของเธอ Eli เป็นแวมไพร์มาหลายทศวรรษแล้ว ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยเลือดมนุษย์จากการจัดหามาให้โดยผู้ติดตามของเธอ ซึ่งไม่นานนัก Oskar ก็รู้ความจริง และ Eli ก็รู้ว่า Oskar เป็นเด็กชายจอมแหยถูกกลั่นแกล้งเป็นประจำ ความใกล้ชิดและความเห็นอกเห็นใจกันและกันทำรักแรกเริ่มก่อตัวขึ้น

Let the Right One In หรือชื่อในภาษาสวีดิช Låt den rätte komma in ในความหมายเดียวกัน สร้างมาจากนวนิยายของ John Ajvide Lindqvist ซึ่งตีพิมพ์ในปี 2004 และประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามในสวีเดนนอกจากนั้นเขายังเป็นคนเขียนบทของหนังเรื่องนี้อีกด้วย

หนังจากสวีเดนมาพร้อมกับภาษาสวีดิช ที่แปลกและไม่ค่อยคุ้นเคย การเดินเรื่องเรียบๆ ที่ประกอบกับฉากหลังที่เต็มไปด้วยหิมะตลอดทั้งเรื่องช่วยให้หนังเย็นเยียบ เงียบเหงา มากยิ่งขึ้น ซึ่งหนังก็ได้ประโยชน์จากตรงนี้ตัวหนังจึงแข็งมาขึ้น การเดินเรื่องของหนังยังทำให้นึกถึงคำว่า "คลื่นลมสงบ ก่อนเกิดพายุใหญ่" ได้ดี เพราะตัวหนังทำให้เรารู้สึกได้ตลอดเวลาว่า จะต้องมีฉากรุนแรงมากๆเกิดขึ้นแน่เพียงแต่รอเวลาเหมาะๆว่ามันจะมาเมื่อไหร่และก็ทำให้คนดูอึ้งได้เมื่อฉากนั้นมาถึง

Let the Right One In ถูกจัดอยู่ในหนังประเภท romantic horror ประกอบกับเป็นเรื่องเกี่ยวกับ แวมไพร์จึงเป็นธรรมดาว่าจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับ The Twilight series ที่โด่งดัง แต่ Let the Right One In รุนแรงกว่าหลอนกว่ากล้านำเสนอมากกว่า เลยทำให้ The Twilight series เป็นหนังรักหวานซึ้งไปเลยเมื่อนำมาเทียบกับเรื่องนี้ ยังไม่พอ Let the Right One In ยังตบท้ายให้คนดูได้คิดอีกด้วยว่าความรักของเขาทั้งสองมันจะไปรอดฝั่งหรือไม่ โดยหนังก็ฉลาดพอที่จะไม่เล่าแต่ทิ้งเงื่อนงำให้คนดูคลำทางไปเอง

นอกจาก Let the Right One In เป็นหนังที่สามารถตรึงคนดูได้แล้วยังคว้ารางวัลต่างๆได้มากมายนับกันไม่หวาดไม่ไหว ตัวหนังประสบความสำเร็จจะเรียกว่าเกินคาดเลยก็ว่าได้และแน่นอนว่า Lina Leandersson ผู้แสดงเป็นแวมไพร์ ก็แจ้งเกิดได้เต็มตัวด้วยเช่นกัน Let the Right One In จึงจัดว่าเป็นหนังแวมไพร์อีกรูปแบบหนึ่งที่คุณอาจจะยังไม่เคยสัมผัสมาก่อน

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
- ก่อนที่ John Ajvide Lindqvist จะเป็นนักเขียนเขาเคยเป็นนักมายากล และ stand up comedy มาก่อน โดยเขาแสดงมายากล ที่ถนน Västerlånggatan ในกรุงStockholm
- Tomas Alfredson มีชื่อเต็มคือ Hans Christian Tomas Alfredson มีพี่ชาย(Daniel Alfredson)เป็นผู้กำกับที่รู้จักกันดีในสวีเดนจากหนังไตรภาคชุด Millennium Trilogy และมีพ่อ(Hasse Alfredson)เป็นนักแสดง นักเขียนและผู้กำกับ ผู้มากความสามารถในสวีเดนอีกด้วย


Directed by Tomas Alfredson
Produced by
Carl Molinder
John Nordling
Written by Novel and screenplay: John Ajvide Lindqvist
Starring
Kåre Hedebrant
Lina Leandersson
Per Ragnar
Music by Johan Söderqvist
Cinematography Hoyte van Hoytema
Editing by
Tomas Alfredson
Daniel Jons?ter
Distributed by
Magnolia Pictures (US)
Sandrew Metronome (Scandinavia)
Momentum Pictures (United Kingdom)
Release date(s)
Gothenburg Film Festival:26 January 2008
Sweden, United States:24 October 2008
Australia:19 March 2009
Ireland:8 April 2009
United Kingdom:10 April 2009
Running time 114 minutes
Country Sweden
Language Swedish
Budget c. 29 million SEK (c. $4 million)
Gross revenue $10,562,447

ข้อมูลจาก : Wikipedia

Let the Right One In Trailer

Read More...

Wednesday, August 18, 2010

The Crazies (2010)

เมืองเล็กๆ แสนสงบในไอโอวา ดำเนินชีวิตเหมือนทุกๆวัน ในขณะที่ David Dutton(Timothy Olyphant)นายอำเภอประจำเมืองและRussell Clank(Joe Anderson)ผู้ช่วยของเขา กำลังสนุกอยู่กับ เบสบอลของโรงเรียนประจำท้องถิ่น เขาได้สังเกตุเห็นว่ามีคนคลุ้มคลั่งถือปืนเข้ามาจึงเข้าไปเกลี่ยกล่อมแต่ไม่เป็นผล และลงเอยด้วยการเสียชีวิตจากกระสุนปืนของเขาเอง แต่ผลการชันสูตรพลิกศพปรากฎว่าไม่พบหลักฐานการใช้ยา และไม่พบแอลกอฮอล์ในกระแสเลือด หลังเหตุการณ์ดังกล่าวไม่นานผู้คนในเมืองก็เริ่มมีอาการแปลกๆ พร้อมทั้งมีคดีฆ่าโหดเกิดขึ้น David Dutton และผู้ช่วยของเขาจึงออกสืบสวนและพบว่ามีเครื่องบินบรรทุกของเหลวมาเต็มลำตกจมอยู่ในคลองประปาสำหรับอุปโภคบริโภค สำหรับเมืองทั้งเมือง ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้คนในเมืองมีอาการคลั่ง มีจิตใจรุนแรง เป็นฆาตกรอำมหิตสังหารไม่เลือกหน้า ในขณะเดียวกันรัฐบาลกลาง ก็กำหนดให้เมืองนี้เป็นเขตติดเชื้อร้ายแรง จำเป็นต้องกักกันและกำจัดเชื้อโรคติดต่อให้หมดไปโดยเด็ดขาด!! พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากหนีอย่างไม่คิดชีวิต.......


The Crazies ต้นฉบับดั้งเดิมที คือ ปี 1973 (ซึ่งผมเกิดไม่ทันและไม่เคยดู) ในชื่อเดียวกันนี่แหละครับ ฉบับปี 2010 นี้ได้ Timothy Olyphant รับบทนำ หลังจากที่เคยเด่นจากบทตัวร้ายในเรื่อง Live Free or Die Hard (Die Hard 4.0) และบทนำใน Hitman( Hitman II กำหนดฉายในปี 2010) สำหรับพล็อตเรื่องของ The Crazies ปูมาสำหรับเป็นหนังสยองขวัญโดยแท้แต่ดูๆไปสักพักทำให้นึกถึงหนังผีดิบแนว Resident Evil อยู่ดี ถึงแม้ตัวหนังจะเปิดช่องไว้ว่าเป็นหนังสยองขวัญบวกแนววิทยาศาสตร์ ไอ้ส่วนที่เป็นวิทยาศาสตร์ก็คงเป็นไอ้ของเหลวที่ติดมากับเครื่องบินต้นเหตุที่ทำให้คนทั้งเมืองติดเชื้อนั้นแหละ แต่หนังก็ไม่ได้จับประเด็นมาเล่นเป็นชิ้นเป็นอันมากนัก ประเด็นแนววิทยาศาสตร์เลยตกไป สรุปแล้ว The Crazies หนังสนุกดูเอามันส์แบบไม่ต้องคิดไม่ต้องใช้เหตุผลอะไรมาก เตรียมตัวสะดุ้งไปตามจังหวะหนังเป็นพอครับ

Directed by
Breck Eisner
Produced by
Michael Aguilar
Rob Cowan
Dean Georgaris
George A. Romero
(Executive Producer)
Written by
Scott Kosar
Ray Wright
Starring
Timothy Olyphant
Radha Mitchell
Joe Anderson
Danielle Panabaker
Music by Mark Isham
Cinematography Maxime Alexandre
Editing by Billy Fox
Studio
Participant Media
Imagenation Abu Dhabi
Distributed by Overture Films
Release date(s) February 26, 2010 (2010-02-26)
Running time 101 min.
Country United States
Language English
Budget $20 million
Gross revenue $44,326,151

ข้อมูลจาก : Wikipedia

The Crazies (2010) Tailer

Read More...